วันนี้ฝนตกหนักเป็นช่วงๆ แต่มีโอกาสพาแขกไปชมป่าพรุโต๊ะแดง เลยนำภาพมาฝากกัน
2 ภาพแรกนี้เป็นด้านตรงข้ามกับทางเข้าป่าพรุโต๊ะแดง เป็นสถานที่พักพร้อมบริการ…..แต่เปิดดำเนินการไม่ได้เนื่องจากสถานการณ์ ทำให้คนทั่วไปกลัว….แต่ที่นี่บอกได้ว่ายังปลอดภัย
ด้านข้างมีเฟินติดอยู่กับต้นไม้สวยมาก ถ่ายมาเสียหลายรูปเลย ชอบริบบิ้นเส้นเล็กๆสีเขียวสวยสุดๆ
เข้ามาด้านในมีอาคารมากมายทั้งอาคารโล่งเตรียมไว้จัดงานหรือประชุม อาคารแสดงนิทรรศการของป่าพรุ (แอบมี presenterด้วย)
ชอบหมากแดงที่นี่มากเลย ต้นเขียวสมบูรณ์และใหญ๋โตมากๆๆๆ
ตอนนี้ทางป่าพรุได้เสนอรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ “ล่องเรือ” เสียดายวันนี้ไม่ได้ล่องเพราะฝนตกและวันหยุดเจ้าหน้าที่ไม่อยู่้
เริ่มต้นเดินทางเข้าเยี่ยมชมป่าพรุแล้ว เส้นทางเปียก ระวังลื่น!!!! จะมีป้ายบอกข้อควรปฏิบัติบริเวณทางเข้า มีแผนที่ิทางให้ ทางเดินจะเป็นสะพานทอดยาวคดเคี้ยว ด้ายข้างจะเป็นต้นไม้และน้ำเจิ่งนอง presenter action กันเต็มที่
ต้นไม้จะมีป้ายชื่อบอกเพื่อการศึกษาเรียนรู้ และต้นไม้ทุกต้นจะไม่ตัดเมื่อขวาทางเดิน เจขาะตัดทางเดินเพื่อให้ต้นไม้ผ่านทางเดินได้
หมากแดงแช่อยู่ในน้ำป่าพรุ ขึ้นสวยงามเฃียว
เส้นทางเดินเป็นสะพานไม้ มียกพื้นสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านคลอง เตรียมให้กิจกรรมล่องเรือผ่านไปได้ การเดินครั้งเลือกทัศนศึกษาเรื่องการทำแป้งสาคู (ที่จริงเลือกไม่ได้แล้วเพราะเส้นทางดูนกเขาปิดซ่อมทางชั่วคราว..) เส้นทางนี้จะอธิบายการทำแป้งสาคูให้ทราบทุกขั้นตอนพร้อมรูปปั้นประกอบ
“ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร” ท่องไปในป่าพรุผืนสุดท้ายของประเทศ
ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร ภายใต้โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นราธิวาส หรือ “ป่าพรุโต๊ะแดง” เป็นป่าพรุผืนใหญ่ผืนสุดท้ายของประเทศที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก สุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จึงพยายามสร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยว โดยร่วมกับเอกชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผลักดันให้ป่าพรุผืนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่การเรียนรู้ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม
สุชาดา ให้ความรู้ว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเกิดจากการที่ลักษณะภูมิประเทศของ จ.นราธิวาส บริเวณชายฝั่งตะวันออกค่อนข้างเป็นแนวตรง และยกตัวสูงขึ้น ทั้งยังมีคลื่นลมแรงตลอดทั้งปีพัดพาเอาดินมากองเป็นเนินปิดกั้นเป็นแนวยาวตลอดชายฝั่ง
ยิ่งนานวันเนินทรายก็ยิ่งสูงขึ้น กว้างขึ้น และยาวขึ้นจนปิดกั้นชายฝั่งทำให้เกิดเป็น “แอ่งน้ำอิสระ” จากทะเลโดยสิ้นเชิง และมีการวิวัฒนาการอย่างช้าๆ จนกลายเป็น “ป่าพรุ” ขึ้นมา
ป่าพรุโต๊ะแดงอยู่ในแนวเทือกเขาต้นน้ำ คือ เทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี บริเวณทิศตะวันตกและทิศใต้ และค่อยๆ ลาดลงสู่พื้นทะเลในด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก มีภูมิอากาศแบบป่าดงดิบชื้น อุณหภูมิเฉลี่ย 27 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนเฉลี่ย 2,690 มิลลิเมตรต่อปี
ป่าพรุโต๊ะแดง เป็นป่าชุมน้ำ (Wetland Forest) มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ มีต้นไม้ขึ้นบนชั้นของซากพืชในพื้นที่น้ำท่วมขังตลอดปี ถือเป็นป่าดงดิบชนิดหนึ่ง
จากข้อมูลการสำรวจในปี 2542 พบว่าปัจุบันพื้นที่ป่าพรุสมบูรณ์เหลืออยู่ในประเทศไทยประมาณ 56,447 ไร่ โดยอยู่ในพื้นที่ อ.ยี่งอ อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เท่านั้น นอกจากนี้ป่าพรุโต๊ะแดงยังสามารถจำแนกพื้นที่ออกเป็น 3 เขต คือ
1.เขตชั้นในสุด เป็นใจกลางของป่าพรุ เรียกว่า “เขตสงวน” (Preservation Zone) มีสภาพเป็นป่าดั้งเดิม มีเนื้อที่กว่า 52,519 ไร่ พบพันธุ์ไม้ขึ้นปะปนกันมากราว 437 ชนิด
2. เขตอนุรักษ์ (Conservation Zone) มีเนื้อที่ประมาณ 110,000 ไร่ พันธุ์ไม้เด่นที่พบส่วนใหญ่มี 2 ชนิด คือ เสม็ดขาว และ มะฮัง ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้เบิกน้ำ (Pioneer Species)
3.เขตชั้นนอกสุด เป็น “เขตพัฒนา” (Development Zone) โดยเขตนี้ป่าพรุได้เปลี่ยนสภาพไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เนื่องจากถูกไฟไหม้ซ้ำซากจนทำให้ชั้นของซากพืชหมดไป
“หากเปรียบไปแล้วป่าพรุโต๊ะแดงยังเปรียบเหมือนเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของ จ.นราธิวาส ซึ่งสามารถเก็บกักน้ำและชะลอการไหลของน้ำในฤดูฝน แล้วค่อยๆ ระบายน้ำให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำต่างๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดฤดูแล้ง ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ได้จากสัตว์น้ำชนิดต่างๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืดที่พบแล้วเกือบ 100 ชนิด” สุชาดา ย้ำถึงความสำคัญของป่าพรุ
ด้าน อะหมาน หมัดอาดัม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนราธิวาส กล่าวว่า ความงดงามและอุดมสมบูรณ์ของป่าพรุแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นเหมือนสถานที่เก็บเรื่องราวในอดีตของซากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์และอื่นๆ ไว้เป็นชั้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในแง่ของการศึกษาภูมิหลังของระบบนิเวศในพื้นที่ป่าพรุเป็นอย่างมาก
ลักษณะเด่นของป่าพรุที่เห็นได้ชัดเจน คือ น้ำในป่าพรุจะมีสีคล้าย “น้ำชา” ซึ่งเป็นสีของน้ำฝาด (น้ำตาลที่ได้จากการสลายตัวของพืช) มีรสเฝื่อนเล็กน้อย เพราะอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายแล้วมีความเป็นกรดอ่อนๆ
ฉะนั้นน้ำในป่าพรุธรรมชาติจึงนำมาใช้บริโภคได้ ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ ทั้งยังนำมาใช้ในการกสิกรรม และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ผู้มาเยือนยังจะได้ตามรอย “เส้นทางปฐมเสด็จ” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเพื่อศึกษาธรรมชาติป่าพรุเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2533
โดยตลอดเส้นทางตามรอยเสด็จพระราชดำเนิน ปัจจุบันมีการพัฒนาเส้นทางใหม่ให้มีความคล่องตัวและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวตลอดระยะทางประมาณ 1,200 เมตร ซึ่งเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อว่าจะสร้างความประทับใจอย่างมิรู้ลืมแน่นอน
“สุพิชฌาย์ จันต๊ะปา”
http://www.komchadluek.net/detail/20090806/23160/%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8.html
ขอบคุณค่ะคุณเปาะ และขอให้พรที่คุณเปาะให้มากลับส่งผลให้เกิดกับคุณเปาะและครอบครัวร้อยเท่าทวีคูณด้วยค่ะ ขอบคุณที่เ ข้ามาชมค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้คุณกานและครอบครัวมีความสุขมากๆ คิดทำสิ่งใดขอให้สมความปรารถนานะคะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะน้องเดียร์ ขอให้ประสพความสำเร็จตามปราถนาทุกประการค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่กาญ
มีความสุขมาก ๆนะคะ
(ภาพยามฝนตกดูชุ่มฉ่ำมากค่ะ สดชื่น สดชื่น)