ปาล์มบังสูรย์ เป็นปาล์มที่มีลักษณะเด่นอยู่ที่ใบ ใบเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด สวยงามเหมือนกับตัดแต่งขึ้นมา ในต่างประเทศเปรียบใบปาล์มนี้มีลักษระเป็นรูปเพชรตัด (Diamond Shape) หรือใบพาย (Paddle) มีพบมากในป่าบนเขาสูงต่อแดนไทย-มาเลเซีย คนพื้นเมืองเรียกปาล์มชนิดนี้ว่า “บูเก๊ะลีแป” โดยคำว่า บูเก๊ะ มาจาก บูกิต เป็นภาษามาลายู แปลว่า ภูเขา ส่วนคำว่าลีแป นั้นแปลว่า ตะขาบ ฉนั้นคำว่า บูเก๊ะลีแป จึงแปลว่า ตะขาบภูเขา เข้าใจว่าชาวบ้านคงเรียกชื่อจากช่อดอกของปาล์มชนิดนี้ ซึ่งดูคล้ายๆตะขาบ ภายหลังในปี พ.ศ.2517 อาจารย์ประชิด วามานนท์ ผู้รับหน้าที่จัดสวนและตกแต่งบริเวณพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เห็นว่าปาล์มชนิดนี้ใบมีรูปทรงเหมือนเครื่องสูง หรือเครื่องขัตติยราชประเพณี ซึ่งใช้บังแสงแดดในพิธีแห่ โดยเสด็จขบวนพระยุหยาตราที่เรียกว่า “บังสูรย์” (บังแสงแดด) จึงนำนามเครื่องสูงนี้มาตั้งชื่อปาล์มชนิดนี้ว่า “ปาล์มบังสูรย์”

ปาล์มบังสูรย์ต้องเลี้ยงในสแลน 80 %(แสงผ่านได้ 20 %)อยู่กลางแดดไม่ได้

ต้นปาล์มบังสูรย์อายุประมาณ 10 ปี

ต้นปาล์มบังสูรย์อายุประมาณ 10 ปีเช่นกัน
ปาล์มบังสูรย์ จัดอยู่ในสกุล Teysmannia ในสกุลนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด พบมากอยู่ในแหลมมาลายู คือภาคใต้ขอประเทศไทย เช่น จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา ประเทศมาเลเซีย สุมาตราเหนือ บอรืเนียว โดยแบ่งชนิดดังน
ี้
 ชนิดที่ 1 เป็นปาล์มบังสูรย์ที่พบในจังหวัดนราธิวาส เป็นชนิดใบกว้างใหญ่ทรงข้าวหลามตัดสีเขียวทั้งบนใบและใต้ใบ   ไม่มีลำต้น   ไม่แตกหน่อ   เป็นปาล์มต้นเดี่ยว  ก้านใบโผล่ จากพื้นดิน ยาวสุดประมาณ 3 ฟุต   มีสีเขียวเหมือนใบ   มีหนามเล็กๆสั้นๆ เรียงกันเป็นระเบียบตามความยาวของก้านใบทั้ง 2 ข้าง   ก้านใบอวบแบนใหญ่จากโคนแล้วเรียวเล็กไปถึงโคนใบ          ใบเป็น สีเขียวสดรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด   เรียงสลับกันโดยรอบเป็นกอใหญ่   ใบกว้างประมาณ 3 ฟุต ยาวสุดประมาณ 6 ฟุต ปลายใบโค้งมนเล็กน้อย   ตัวใบเป็นจับพับคล้ายผ้าอัดจีบละเอียดทอดยาวไปตามแนวใบทั้งสองข้างจะมีหน มเล็กๆละเอียดตลอดความยาวของใบ   ใบจะโผล่จากกอประมาณ 6-10   ใบ/ปี         ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศออกเป็นช่อสั้นๆยาวประมาณหกนิ้วโค้งลงบิดเบี้ยวเล็กน้อย   ดูคล้ายตะขาย   (ลีแป)   ดอกออกระหว่างก้านใบ   ดอกเล็กๆสีขาวครีม   จั่นยาวประมาณสิบสองนิ้ว   มีสีน้ำตาลอมแดง   เมื่อผสมเกษรแล้วจะติดผลเป็นทะลายผลใหญ่เปลือกขรุขระคล้ายผลลิ้นจี่   เมล็ดภายในกลมเรียบแข็ง   เปลือกบางสีน้ำตาลคล้ายเมล็ดเกาลัด   เรียกปาล์มชนิดนี้ว่า   Teysmannia altifrons
 ชนิดที่ 2 เป็นปาล์มบังสูรย์เหมือนชนิดที่ 1 แต่ต่างกันที่ใต้ใบมีสีเป็นสีเทาควันบุหรี่   หรือสีเงิน   เมล็ดภายในกลมผิวไม่เรียบแบบชนิดที่ 1 ผิวเมล็ดเหมือนผิวลูกกอฟท์   ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า   Grey teysmannia or    Silver teysmannia ชนิดนี้หายากแต่พบได้ในประเทศมาเลเชียบ้างไม่มากนัก

ปาล์มบังสูรย์หลังขาว
ชนิดที่ 3 เป็นปาล์มบังสูรย์เหมือนชนิดที่ 1 แต่ต่างกันที่มีลำต้นดิ่งตรงสูงเหมือนต้นมะพร้าว แต่เล็กกว่าและเตี้นกว่า โดยสูงสุดประมาณ 10 ฟุต เรียกว่า Trunked tersmannia
ชนิดที่ 4  เป็นปาล์มบังสูรย์เหมือนชนิดที่ 1 แต่ใบมีความยาวมากก่วาความกว้าง   เป็นชนิดที่หายาก   คือใบกว้าง 1 ฟุตครึ่ง   แต่ยาวถึง   8 ฟุต   ใบมีสีเขียวสด   เรียกว่า   Lanceolate teysmannia
การขยายพันธุ์ เนื่องจากปาล์มบังสูรย์เป็นปาล์มต้นเดี่ยว   ไม่มีกิ่งก้าน แขนง ไม่แตกหน่อ   จึงขยายพันธุ์ได้วิธีเดียวคือ การเพาะเมล็ด   โดยคัดเมล็ดที่แก่จัด เปลือกเมล็ดเป็นสีน้ำตาลเรียบไม่แตก แช่ยากันเชื้อรานานประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาเพาะในวัสดุเพาะ   โดยใช้ทรายอย่างเดียว   หรือทรายผสมขี้เถ้าแกลบ   หรือทรายผสมขุยมะพร้าว   โดยใช้วัสดุเพาะหนาประมาณ 6 นิ้ว   แล้วกลบเมล็ดพอมิดด้วยวัสดุเดียวกัน รดน้ำอย่าให้วัสดุแห้ง ใช้เวลา 60 วัน   แล้วรื้อแปลงเพาะคัดเอาเฉพาะเมล็ดที่งอกแล้ว (ออกรากแล้ว)   ไปชำในถุงหรือกระถางต่อไป   ส่วนเมล็ดที่เหลือหากไม่เสียก็นำกลับไปเพาะไว้อีก   โดยจะรื้อแปลงเพาะทุกๆ 30 วัน จนกว่าเมล็ดจะหมด

เมล็ดปาล์มบังสูรย์

เมล็ดปาล์มบังสูรย์ที่งอกแล้ว
 การปลูกโดยนำเมล็ดที่งอกแล้ว   ไปปลูกในกระถางหรือถุงดำขนาด 4″x10″ พับข้าง(หรือ 8″x10″)   โดยใช้ดินปลูกประกอบด้วยหน้าดินส่วนหนึ่งผสมกับแกลบดิบหรือขุยมะพร้าว หรือทั้งสองอย่าง ในอัตราส่วน 1:1 เติมปุ๋ยคอกประมาณ 5-10 %   โดยฝังรากของปาล์มลงในดินปลูกแล้วกลบเทล็ดพอมิดด้วยดินปลูกอีกทีหนึ่ง   รดน้ำให้ชุ่ม   วางไว้ในร่มรำไร   (มีแสงประมาณ   10-20%)   รากก็จะเจริญลงไปในดินปลูกในระดับหนึ่งแล้วสร้างตายอดแทงขึ้นมาเป็นใบจาก ดินปลูก   พร้อมกับแตกรากฝอยในที่ใต้จุดที่เกิดยอด   โดยใช้เวลาในช่วงนี้ประมาณ 2-3   เดือน   จึงจะเห็นใบโผล่ออกจากดินปลูก   เลี้ยงไว้อายุ 1 ปีจะได้ต้นขนาด 2-3 ใบ   ใบกว้าง 2-3 นิ้ว   อายุ 2 ปีจะได้ต้นขนาด 5-6 ใบ ใบกว้าง   4-6 นิ้ว
การดูแลรักษา เนื่องจากปาล์มบังสูรย์เป็นไม้ในป่าเขาดิบชื้นและเป็นไม้ชั้นล่างใต้ต้นไม้ ใหญ่   จึงไม่ชอบแสงแดดจัด   การปลูกเลี้ยงไว้ในที่กลางแจ้งจะทำให้ใบไหม้ตายได้   การปลูกเลี้ยงจึงต้องปลูกเลี้ยงในที่ที่แสงแดดส่องโดยตรงไม่ถึง   เช่น   ใต้ต้นไม้ใหญ่   ใต้ชายคาบ้าน   หรือในบ้านที่มีแสงบ้าง   หรือใต้ซาแลน(พลาสติกกรองแสง)   หรือใต้นั่งร้านระแนงที่ก่อสร้างขึ้นมาให้มีแสงผ่านได้   10-20 %(กรองแสง80%)
น้ำ ควรให้น้ำสม่ำเสมอ   โดยไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้ดินปลูกแห้งแล้วค่อยรด   ควรจะรดน้ำทุกวัน โดยรดน้อยแต่บ่อยครั้ง
ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยบ้างเป็นครั้งคราวโดยให้ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1-2 ครั้ง   หรือใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 ให้คราวละน้อยๆตามแต่ควร เดือนละครั้ง   จะทำให้ใบมีสีเขียวเข้มขึ้น
โรค สำหรับปาล์มบังสูรย์เรื่องโรคไม่ ค่อยมีปัญหามากนักอาจมีบ้างที่เกิดจากเชื้อรา   บางชนิดที่ทำให้ใบเป็นด่างจุดสนิมสีน้ำตาล   ทำให้ต้นลดความสวยงามลงไปได้มาก จึงควรฉีดพ่นด้วยยาป้องกันเชื้อราบ้างเป็นครั้งคราว
แมลง แมลงที่พบมากในปาล์มบังสูรย์   ได้แก่ตั้กแตนแมลงปีกแข็ง   และหนอนหนังเหนียว   จะกัดกินใบขณะใบยังอ่อนทำให้ใบเสียได้    นอกจากนี้ยังมีหนอนเจดีย์ จะเกาะอยู่ใต้ใบกินใบเป็นรู เป็นจุดเต็มทั้งใบได้   ทำให้ความสวยงามลดน้อยลงไปได้มาก   ควรฉีดพ่นยาฆ่าแมลงบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อพบเห็นแมลงระบาด

สวัสดีครับ คุณกิตติรับปาล์มบังสุรย์ขนาด 5 ใบ 1 ต้น จัดส่งรถไฟปลายทางบางซื่อ ราคาเท่าไหร่ครับ ขอบคุณ
ปาล์มบังสูรย์ กับกระพ้อหนูที่เป็นต้นยังมีไหมครับ
เมล็ดหมดแล้วครับ
มีเมล็ดปาล์มบังสรูย์ที่รากงอกแล้วหรือเปล่าครับ ราคาเท่าไหร่ จัดส่ง EMS ครับ
กระพ้อหนูต้นละ800ครับ ส่วนเจ้าเมืองตรังต้นละ300บาทครับ ราคานี้ยังไม่รวมค่าส่งครับ
สวัสดีครับ
พอจะมีต้นกระพ้อหนู่ และปาล์มเจ้าเมืองตรังบ้างหรือเปล่าครับ
อยากได้อย่างละสองต้นครับ
ขอบคุณครับ
ไม่มีครับ